วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

'คู่มือ' หนุ่ม-สาวออฟฟิศเตรียมตัว 'ลุยน้ำท่วม' มาทำงาน!!!

'คู่มือ' หนุ่ม-สาวออฟฟิศเตรียมตัว 'ลุยน้ำท่วม' มาทำงาน!!!

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ทำให้ หนุ่ม-สาวออฟฟิศทั้งหลายคงเดือดร้อนกันถ้วนหน้า บางคนอาจจะทำอะไรไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวจะแต่งอย่างไรดีในช่วงนี้ จะเดินทางกันอย่างไรให้ปลอดภัยไม่เลอะน้ำ วันนี้ไทยรัฐออนไลน์จะพาทุกคนมารู้จักสาวทำงานคนนี้ ที่ยอมรับเลยว่าเธอพร้อมจริงๆ ในการเตรียมรับมือกับมวลน้ำที่ประชิดตัวเธอ ราวกับว่าสาวคนนี้เคยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาแล้ว แต่คำตอบที่ได้รับกลับกลายเป็นว่าเธอเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ มุมมองความคิดในการดำเนินชีวิต และการเตรียมพร้อมของสาวอารมณ์ดีคนนี้เป็นอย่างไร…?

น.ส.อุษาสิน ปริยัติ หรือ น้ำตาล ปัจจุบันเธอทำงานอยู่บริษัทเทรนด์วีจี 3 จำกัด หรือที่ใครๆ เรียกกันว่าไทยรัฐออนไลน์ กับตำแหน่งพนักงานพัฒนาธุรกิจ มีหน้าที่ในการทำวิจัยเกี่ยวกับภาพรวมของไทยรัฐออนไลน์

"เนื่องจากเราทำงานเกี่ยวกับข่าวสารจึงเตรียมตัวเรื่องน้องน้ำมาเยี่ยมได้สักระยะ ซึ่งเคล็ดลับของเราคือ ไม่เสพตลอดเวลาเพราะทำให้เครียด รู้แค่ว่าน้ำมันอยู่ตรงไหนมาได้อย่างไรก็พอ บ้านน้ำตาลอยู่ซอยวิภาวดี 16 ตอนแรกไม่ได้เป็นพื้นที่เสี่ยงจนอีก 2 อาทิตย์ที่แล้วมันเสี่ยงแล้ว ก็เตรียมของดูบ้านว่าจะสู้หรือหนี ประเมินแล้วก็ตัดสินใจสู้ พอกั้นทางเข้าน้ำประมาณจากพื้น 1 เมตร แล้วเอาเครื่องสูบน้ำมารอ เสร็จแล้วจึงดูเรื่องไฟ คนอื่นก็ดูเรื่องไฟ ไฟบ้านทั่วๆ ไปมันจะต่ำ ก็ต้องคอยดูดึงสายไฟออก แต่ว่าโชคดีที่บ้านเป็นคัตเอาต์แบบแยกชั้น ยกของขึ้นที่สูงแล้วจึงเตรียมเสบียงให้ได้ 1 เดือน"

สรุปแล้วน้ำมาจริงๆ เธอก็เป็นบ้านหลังแรกๆ ที่เตรียมพร้อมรับมือ แล้วก็โดนผลกระทบจากน้ำน้อยที่สุด

หมวด : เตรียมตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าไปทำงาน

น้ำตาลเล่าให้ฟังว่า นอกจากเรื่องการเตรียมตัวเอาตัวรอดเรื่องบ้านแล้ว การแต่งตัวลุยน้ำไปทำงานในช่วงนี้ก็เป็นเรื่องที่เธอแพลนมาตั้งนานแล้ว เริ่มจากเสื้อผ้าที่ต้องเลือกสวมใส่ให้สบายตัว และรู้สึกทะมัดทะแมงที่สุด เธอแนะนำดังนั้น

1.ควรใส่เสื้อสีเข้มและกางเกงขาสั้น – ผู้ชายไม่น่ามีปัญหากับเรื่องนี้ แต่สำหรับผู้หญิงถ้าใส่เสื้อผ้าสีเข้มน่าจะคล่องตัวและไม่โป๊ด้วย หากเกิดตกน้ำตกท่าข้ึนมาก็จะช่วยเซฟตัวเองด้วย ตอนแรกว่าจะใส่เลคกิ้งแต่ส่วนตัวว่าเวลามันเปียกแล้วมันคงน่ารำคาญ แต่คิดว่าพอเวลาถ้ามันเปียกจริง ถอดออกมาก็ไม่ได้ แล้วมันก็แนบอยู่กับเรา สรุปใส่ขาสั้นเวิร์กที่สุด เพราะเปียกแล้วล้างขาได้สะดวก นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่คนนึกไม่ถึงก็คือเรื่องเสื้อชูชีพมีใส่เอาไว้ก็ไม่เสียหลายเพราะจากประสบการณ์ และข่าวสารที่หาข้อมูลมา น้ำตื้นๆ ก็ทำให้คนตายได้ถ้าไม่มีสติ ดังนั้นมีเสื้อชูชีพเอาไว้ไม่เสียหลาย

2.กางเกงกันน้ำ รองเท้าบู๊ตกันน้ำ – ผู้ชายผู้หญิงก็ไม่แตกต่างกัน ถ้าให้ดีควรจะสวมชุดหมีกันน้ำการันตีว่ากันน้ำได้ดีจริง ๆ เพื่อป้องกันน้ำที่เราต้องลุยไปทำงาน

"อย่างน้ำตาลกับเพื่อนๆ ผู้ชายพอได้ชุดหมีพลาสติกที่คุณภาพดีหนาๆ หน่อยก็จะดีมาก  อย่างวันก่อนเรานั่งเรือหางยาวแล้วน้ำสาดเข้ามา แต่ใส่ชุดหมีอยู่ ถอดชุดหมีออกมาก็ไม่เปียกไม่เป็นไรเลย"

3.เครื่องประดับแนะนำให้ถอดออกให้หมด - ประเมินดูว่าของอะไรที่เราไม่อยากสูญเสียไปกับน้ำก็เก็บไว้ที่บ้าน เช่น นาฬิกา แหวน ตุ้มหู ถ้าจะใส่ก็เอาแบบไม่ยาวเกะกะ เพราะว่าจะได้ทะมัดทะแมง

4.กระเป๋ากันน้ำสำหรับทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย ควรเลือกสะพายกระเป๋าแล้วอยู่ในที่สูง - ระดับที่คาดแล้วมันประมาณเอว เพราะหากคาดกระเป๋าระดับต่ำๆ อาจเสี่ยงที่กระเป๋าจะโดนน้ำขณะที่เราเดินทาง  และเพื่อไม่ให้ของในกระเป๋าตกหล่นก็ควรจะเลือกกระเป๋าแบบมีซิปก็จะดีมาก ที่สำคัญควรเป็นกระเป๋าที่กันน้ำได้ ถ้าไม่มั่นใจ ว่ากระเป๋าจะสามารถกันน้ำได้รึเปล่า ก็หาซิปล็อกมาใส่ของในกระเป๋ากันน้ำอีกทีก็ได้

5.ซองใส่มือถือใส่ซิปล็อกอันเล็ก – อย่างที่บอกบ้านน้ำตาลมีการเตรียมตัว ดังนั้นจึงมีถุงแบบมีซิปล็อกอยู่ 3 ไซส์ อันเล็กสุดเอามาใส่มือถือ และที่น้ำตาลอยากแนะนำคือที่ชาร์ตแบตพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับคนที่ใช้ไอโฟน การทำงานคือตากแดดให้มันสะสมพลังงานเอาไว้ใช้ได้ 7 ชั่วโมง ส่วนนาฬิกา เพราะคว้าบ่อยก็จะใส่ไว้อยู่ในที่เดียวกัน แล้วก็กระเป๋าตังค์ใส่ไว้อีกอันนึง เพราะถ้ามันรวมอยู่ในถุงใหญ่ควานหาแล้วมันลำบาก

6.ทิชชูเปียก และทิชชูแห้ง – มีเอาไว้เช็ดกันเลอะน้ำ พกได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เพราะยามฉุกเฉินที่เลอะน้ำก็สามารถหยิบเจ้าทิชชูนี้ขึ้นมาเช็ดได้ในเวลาที่ยังไม่มีน้ำล้าง

7.ยา - แนะนำยาที่ควรจะมีก็คือยาแก้ปวดหัว ยาแก้ปวดท้อง นอกจากนี้ควรมีเบตาดีน และพลาสเตอร์ ไว้เพื่อเวลาเดินทางแล้วอาจเจออุบัติเหตุ เช่น ต้องปีนกำแพง เสี้ยนตำก็แปะๆ ไป นอกจากนั้นก็ควรมีพวกน้ำยาซลิไทเซอร์ที่ไม่ต้องใช้น้ำเป็นเจลล้างมือทั่วไป  

8.หมวกกันแดด- นั่งรถ นั่งเรือ ส่วนถ้าคุณผู้ชายหรือผู้หญิงหากผมยาวก็แนะนำให้รวบผมไว้ พยายามทำตัวให้ทะมัดทะแมงที่สุด เพราะเราไม่รู้เราจะไปเจอกับอะไร เพราะ ณ จุดนี้เราใช้รถตัวเองไม่ได้ พื้นฐานง่ายๆ เลยคือทำยังไงให้คล่องตัวที่สุด

9.เครื่องสำอาง-สำหรับสาวรักสวยรักงาม แนะนำว่าไม่ต้องพกอะไรเยอะแค่แป้งพกไว้แต่งหน้า

10.ตัดของที่ไม่จำเป็นออกไป พกสิ่งที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เพื่อความคล่องตัว

หมวด : การแต่งหน้า

เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่หยอกสำหรับเพศหญิงที่รักสาวรักงาม ดังนั้นเรื่องนี้ คุณผู้ชายกระโดดข้ามไปเลยไม่ต้องอ่านก็ได้ ทั้งนี้ สาวน้ำตาลแนะนำว่าไม่ควรแต่งหน้าหนา เพราะหากเกิดแต่งเยอะไป เราไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรระหว่างเดินทาง เกิดโดนน้ำสาดก็จะลำบากเลอะเทอะมาก ถ้าแต่งหน้าเยอะแนะนำให้พกน้ำยาล้างหน้ามาจากบ้านด้วยก็จะดี แต่แนะนำรองพื้นอ่อนๆ ทาปากเท่านั้นพอ สำหรับทรงผมของสาวๆ ก็แล้วแต่ว่าจะทำทรงไหน แต่แนะนำให้ทำทรงผมในแบบที่คล่องตัวที่สุดหรือรวบผมไปเลยก็ได้

หมวด : เดินทางไปทำงาน

การเดินทางก็ควรเผื่อเวลาเดินทางมากกว่าปกติด้วย  และเมื่อมาถึงที่ทำงานจำเป็นมากที่จะต้องล้างมือและล้างขา ส่วนวิธีการดูแลรองเท้าบู๊ตและชุดหมีกันน้ำเพื่อไม่ให้มันชื้น ควรล้างน้ำให้สะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง แล้วนำแป้งเด็กมาถู หรือหากที่ทำงานไม่สะดวกจะล้างทำความสะอาดก็ผึ่งไว้ก่อนก็ได้

หมวด : อาหารกลางวัน

หลายคนละเลย น้ำตาลบอกว่า ในช่วงน้ำท่วมแบบนี้ ก็ไม่ควรประมาทเช่นกันเพราะออกไปกินที่ไหนก็อาจจะเจอแต่น้ำ ทางที่ดีควรห่ออาหารมาทานจากที่บ้านคงสะดวกกว่าเดินลุยน้ำไปทานข้าว หากเบื่อกับข้าวจำเจก็ลองประยุกต์หัดคิดหัดทำอาหารแบบใหม่ แต่สาวน้ำตาลก็เตือนมาว่าอย่าใช้แก๊สเยอะเพราะเอาแก๊สไปเปลี่ยนไม่ได ้หากแก๊สหมดจะแย่ได้ เพราะว่าน้ำมันท่วม ร้านแก๊สก็ปิด

หมวด : เดินทางกลับบ้าน

สำหรับในส่วนของการเดินทางกลับบ้านแนะนำให้ควรทำทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย ควรจะมีอุปกรณ์ป้องกันโจรผู้ร้ายหรือสัตว์ร้ายด้วย อาทิ มีด หรือไม้ น้ำตาลได้แนะนำว่า ควรจะมีไม้ เคาะๆ เวลาเดิน  ส่วนคนที่บ้านอยู่ไกลๆ แนะนำควรจะกลับบ้านเร็วๆ เพราะมันมืดเร็ว 

"อย่างบ้านน้ำตาลอยู่ใกล้ก็ต้องกลับก่อนเพราะว่าแม่จะกลับ คือเรือมันเป็นของบริษัท รถก็เป็นรถของบริษัท ต่อให้เรานั่งไป ก็ต้องเดินเข้าบ้าน เรื่องของเรื่องที่รีบกลับ มันมืดเร็ว แล้วเผอิญซอยบ้านน้ำตาลมันลึก มันก็เงียบเพราะว่าหน้าซอยเขาอพยพกันไปหมดแล้วประมาณ 1 กิโลจากซอยไป คราวที่แล้วเคยเดินกับแม่คือมันมืดแล้วมันก็ลึก แล้วเราก็ไม่รู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมอะไรใต้พื้นรึเปล่า คนก็กลัว เพราะฉะนั้นเราต้องกลับเข้าบ้านเร็วดีที่สุด"

 

 

แต่ทว่าหากต้องเดินทางกลับบ้านมืดจริงๆ  น้ำตาลก็บอกกับเราว่า ควรมีไฟฉายเผื่อไว้ด้วย ของน้ำตาลเป็นไฟฉายแบบไม่มีถ่านใช้แรงมือ เพราะว่าเผื่อไว้ถ้าไม่มีถ่านจะทำยังไง และก็มีที่ชาร์ตแบตที่ได้มาก่อนน้ำท่วม เป็นที่ชาร์ตแบตมือถือแบบใช้พลังงานแสงอาทิตย์ อย่างไรก็ดี จะหมดปัญหารุงรังเหล่านี้ ทางที่ดีควรจะหาบัดดี้ซักคนชวนกันกลับบ้านถ้าหากได้เป็นเพศที่แข็งแรงกว่าอย่างผู้ชายก็จะดีมาก

หมวด : ถึงบ้าน

น้ำตาลบอกว่า หลังจากที่กลับบ้านควรอาบน้ำชำระล้างสิ่งสกปรกที่เราเผชิญมาทั้งวันทันที  พร้อมยังย้ำว่าน้ำที่เราอาบเราใช้มีผลต่อการที่น้ำจะซึมเข้ามาทางท่อน้ำเสียในบ้านสูง เพราะฉะนั้นต้องใช้น้ำให้น้อยกว่าเดิม

"ต้องรีบอาบหน่อย คือกลัวน้ำมันไหลไปเยอะ ไปเสริมให้มันสูง แต่ในกรณีที่บ้านคนอยู่เยอะๆ น่ากลัวกว่าบ้านน้ำตาลเยอะ บ้านน้ำตาลคนอยู่น้อย คนใช้ก็น้อยเพราะฉะนั้นเราก็ไม่ค่อยกลัวว่ามันจะล้น คือเรื่องของเรื่องถ้าน้ำมันท่วมมันล้นในท่อแล้วเดี๋ยวมันจะซึมเข้ามา และมันก็จะปล่อยไม่ได้ด้วยแล้วมันก็ซึมเข้ามาด้วย มันก็จะแย่ ก็เลยรีบอาบกันสุดฤทธิ์"

หมวด : เงินสด 

นอกเหนือจากนั้นที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันในช่วงนี้ก็ไม่ควรประมาท เพราะการเดินทางไปกดเอทีเอ็มนั้นก็ลำบาก ควรจะมีเงินสดเก็บไว้ใช้จ่ายล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนด้วย

สุดท้ายบ้านหลายคนก็คงน้ำท่วมมานาน  คงจะเบื่อและเซ็งแล้ว สาวน้ำตาลคนนี้มีวิธีจัดการความคิดนี้อย่างไร มาฟังแง่คิดดีๆ จากสาวคนนี้กัน ก็เปลี่ยนมุมมอง อยู่กับมันอย่างมีความสุขดีกว่า เราอย่าไปคิดว่าน้ำมาแล้วทำให้มันเสียใจ เราต้องคิดว่าน้ำมาแล้วจะทำให้เรารู้ว่าเราต้องเรียนรู้อะไรบ้างอย่างนั้นดีกว่า รู้สึกว่าเป็นความตื่นเต้น ทุกคนจะบอกว่าทำไมดูตื่นเต้นจัง หาของทั้งวันเลย มันก็ไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้น มันก็ไม่ได้สนุกมากนะ แต่เรารู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ไม่รู้อันนี้อยู่ที่ใจจริงๆ แล้วก็ต้องปลง เพราะเป็นภัยธรรมชาติ เราห้ามเขาก็ไม่ได้ เราทำใจ

 

 

 



"ต้องคิดว่า ถ้าน้ำจะมาก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เราก็อยู่ก็ปรับตัวของเราไป ถ้าน้ำมันจะมามันก็มา เรามัวแต่คิดว่าน้ำมันจะเข้ามาแต่เราไม่ป้องกันตัวเราเอง เราก็จะเครียด ถ้าเราเตรียมพร้อมอย่างน้อยเราก็ได้ภูมิใจว่าเราทำดีที่สุดแล้ว" สาวสวยกล่าวในที่สุด

Twitter : raydo_thairath

 

 

 

โดย: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ไลฟ์สไตล์

19 พฤศจิกายน 2554, 05:30 น.

http://m.thairath.co.th/content/life/217312

 

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กทม.สั่งเปิด ปตร.สูงขึ้น 4 จุด 'พระยาสุเรนทร์' อยู่ระดับ 1.30 ม.

 

กทม.สั่งเปิด ปตร.สูงขึ้น 4 จุด 'พระยาสุเรนทร์' อยู่ระดับ 1.30 ม.

ผู้ว่าฯกทม.แจงสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯดีขึ้น สั่งปรับประตูระบายน้ำสูงขึ้น 4 จุด ที่ประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ จากเดิม 1 เมตร เป็น 1.30 เมตร, ประตูระบายน้ำคลองสามวา จากเดิม 80 ซม.เป็น 90 ซม., ประตูระบายน้ำคลองลำบึงขวาง จากเดิม 1 เมตร เป็น 1.20 เมตร และประตูระบายน้ำลาดกระบัง จากเดิม 1 เมตร เป็น 1.20 เมตร เฝ้าระวัง 24 ชม. …

ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 30 พ.ย. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ แถลงสถานการณ์น้ำ และการแก้ไขปัญหากรุงเทพฯว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพฯ เริ่มคลี่คลายตามลำดับ และในวันนี้ระดับน้ำทะเลหนุนสูงที่ระดับ 1.25 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากคลองตลาด สูง 2.07 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จากที่คาดการณ์ว่าระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงปลายเดือน พ.ย. จะหนุนสูงสุดเช่นเดียวกับเมื่อเดือน ต.ค.54 และส่งผลต่อพื้นที่ต่างๆ และการระบายน้ำของกรุงเทพฯ ขณะเดียวกันระดับน้ำในคลองสำคัญๆ เช่น คลองรังสิต ระดับน้ำลดลง 22 ซม. จากเดิม 3.03 เมตร เหลือ 2.81 เมตร ซึ่งทำให้หลายพื้นที่กรุงเทพฯ ไม่น่าห่วง

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวต่อว่า จากนี้ กทม.จะเริ่มปรับประตูระบายน้ำสำคัญด้านกรุงเทพฯ เหนือ และกรุงเทพฯ ตะวันออก รวม 4 แห่ง ได้แก่ ประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ จากเดิม 1 เมตร เป็น 1.30 เมตร, ประตูระบายน้ำคลองสามวา จากเดิม 80 ซม. เป็น 90 ซม. เพื่อระบายน้ำ จ.ปทุมธานี บริเวณคลองหกวาสายล่าง ลงสู่คลองแสนแสบ เพื่อส่งต่อไปยังอุโมงค์ยักษ์ที่สถานีสูบน้ำพระโขนง, ประตูระบายน้ำคลองลำบึงขวาง จากเดิม 1 เมตร เป็น 1.20 เมตร เพื่อระบายน้ำจากลำลูกกา บริเวณคลองหกวาสายล่าง และคลอง 8-12 สู่คลองประเวศบุรีรมย์ และลงสู่อุโมงค์ยักษ์ และประตูระบายน้ำลาดกระบัง จากเดิม 1 เมตร เป็น 1.20 เมตร เพื่อระบายน้ำจากลำลูกกา บริเวณคลองหกวาสายล่าง และคลอง 7-12 ผ่านคลองประเวศบุรีรมย์สู่อุโมงค์ยักษ์ โดยจะประเมินสถานการณ์ 24 ชั่วโมง หากไม่กระทบต่อพื้นที่ จะเปิดเพิ่มตามลำดับ

ทั้งนี้ ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวขอบคุณ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้อำนวยการ ศปภ. และ ศปภ. ที่สนับสนุนจุดยืนและการทำงานของ กทม. ด้วยดีเสมอมา พร้อมทั้งเจรจาการเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ ที่ระดับ 1 เมตร ดังเดิม ก่อนที่จะมีการปรับเพิ่มตามความเหมาะสม.

โดย: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์

30 พฤศจิกายน 2554, 13:01 น.

http://m.thairath.co.th/content/region/220251

โลกาภิวัตน์ 30/11/54

 

โลกาภิวัตน์ 30/11/54

โน้ตกันหน่อย
"กาแล็กซี่ โน้ต" โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์   เพิ่งเปิดตัวในเกาหลีใต้ เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นอุปกรณ์สมาร์ทโฟนกาแล็กซี่รุ่นล่าที่ใช้ระบบแอนดรอยด์ และทางบริษัทหวังว่า กาแล็กซี่    โน้ตจะได้รับความนิยม  สร้างยอดขายได้ถึง 2 ล้านเครื่อง.


สวยมีพิษ
ภาพจากแฟ้มเมื่อกรกฎาคม 2549 ที่ศูนย์วิจัยใต้ทะเลโนอา จับภาพปลาสิงโตไว้ได้ที่ความลึกประมาณ 130 ฟุต ห่างฝั่งนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ราว 88 กม. นักอนุรักษ์ในเซนต์ มาร์เทน เตือนชาวเกาะไม่ให้รับประทานปลาสิงโตชนิดนี้ หลังจากตรวจทดสอบพบว่าที่ผิวหนังของพวกมันมีพิษตามธรรมชาติ อยู่ตามลายหลากสีสันเหล่านั้น ซึ่งกำลังเป็นเหตุให้เกิดการทำลายระบบนิเวศน์ไปทั่วบริเวณ.


ต้องรักษา
นักบรรพชีวินวิทยาจากพิพิธภัณฑ์บรรพชีวินคาลเดรา บรรจงเข้าเฝือกปูนปลาสเตอร์เก็บฟอสซิลวาฬยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พบบริเวณทะเลทรายอะตาคามา ใกล้เมืองโคเปียโป ประเทศ ชิลี ก่อนขนส่งฟอสซิลอายุกว่า 2 ล้านปี ไปไว้ยังพิพิธภัณฑ์ เพื่อทำการศึกษาต่อไป.


ประมงน้ำลึก
วารสารวิทยาศาสตร์ "ไซเอินซ์" ตีพิมพ์รายงานการวิจัยชิ้นใหม่ที่เสนอว่า มนุษย์มีการทำประมงน้ำลึกมาตั้งแต่ 42,00 ปีก่อน     อันเป็น เวลาที่เก่าแก่กว่าที่เคยคิดไว้   ในภาพเป็นแหล่งขุดค้นโบราณ คดีที่ถ้ำแห่งหนึ่งในติมอร์ตะวัน-ออก อันเป็นบริเวณที่พบก้างปลาและตะขอเบ็ดตกปลา.

 

โดย: ไทยรัฐฉบับพิมพ์

30 พฤศจิกายน 2554, 14:00 น.

http://m.thairath.co.th/content/tech/220001

ลงตัวพอดีเป๊ะชนิดเหลือเชื่อ

ลงตัวพอดีเป๊ะชนิดเหลือเชื่อ

ท่ามกลางอากาศเย็นสบายไม่หนาวไม่ร้อนตับแลบ ไอ้หนุ่มฉกรรจ์ชาวเมืองเบียร์เยอรมัน ครึ้มอกครึ้มใจใคร่หา "น้ำสีอำพันเปลี่ยนนิสัย" ดวดดื่มซักเหยือกสองเหยือก

เฮลมุต ชมิดต์ วัย 25 ปี นำรถสปอร์ตคันงามออกจากบ้าน ขับกินลมชมวิวเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนบึ่งซิ่ง ถนนหนทางก็ว่างพอสมควร การจราจรไม่ถึงกับคับคั่งติดหนึบ จุดหมายของหนุ่มชมิดต์คือบาร์เมรัยในเมืองมึนเช่น แดนดินถิ่นทีมลูกหนัง "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิก

ระหว่างทางต้องผ่านชุมชน ขณะขับเพลินๆเข้าโค้งในหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ยนตรกรรมสปอร์ตล้ำสมัยขัดข้องอีท่าไหนไม่รู้ ชมิดต์มิอาจควบคุม...

มันพุ่งแหกโค้งอย่างรวดเร็ว...พลิกคว่ำตีลังกากว่าสามตลบ ลอยละลิ่วขึ้นสู่อากาศ ก่อนหล่นโครมลงในท่วงท่าปกติ หยุดนิ่งสนิทบนก้อนหินขนาดเขื่องที่ตั้งไว้ประดับประดาหน้าหมู่บ้านจัดสรร ในลักษณะพอดีเป๊ะ แต่ก้นโด่งชี้ฟ้า ขับต่อไม่ได้ เพราะรถนี้ขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง

ส่วนหนุ่มชมิดต์รอดปลอดภัยไม่บาดเจ็บ แค่ฟกช้ำเล็กน้อย...เหลือเชื่ออีกเด้ง!!

ดอย ดอกฝิ่น

โดย: ดอย ดอกฝิ่น

30 พฤศจิกายน 2554, 05:00 น.

 

ซัวบ้วย...หนึ่งในจีนแต้จิ๋ว

 

ซัวบ้วย...หนึ่งในจีนแต้จิ๋ว

ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ "แต้จิ๋ว จีนกลุ่มน้อยที่ยิ่งใหญ่ "อาจารย์ถาวร สิกขโกศล" ค้นคว้ามาเขียนแบบลงลึก" ย้อนรอยค้นรากวัฒนธรรมจีนแต้จิ๋ว

คนจีนในไทยห้ากลุ่มใหญ่ คือ แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน แคะ ไหหลำ และกวางตุ้งนั้น จีนแต้จิ๋วมีมากที่สุด

แต่ในประเทศจีน แต้จิ๋วเป็นจีนกลุ่มน้อย มีประชากรน้อยกว่าจีนกวางตุ้ง แคะ และฮกเกี้ยนมากกว่าไหหลำ ซึ่งมีประมาณ 5 ล้านคน เพียงกลุ่มเดียว

แม้แต้จิ๋วจะเป็นจีนกลุ่มน้อย แต่ยิ่งใหญ่ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังไปทั่วประเทศจีน และทั่วโลก ไม่เป็นรองจีนอื่นที่มีคนมากกว่า คนแต้จิ๋วยิ่งใหญ่ด้วยสติปัญญา ความปราดเปรื่องปรีชา ความรู้ความสามารถ และความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง...

อาจารย์ถาวร เขียนเรื่องจีนแต้จิ๋วในภาพใหญ่ไว้ 8 บท ถึงบทที่ 9 บทสุดท้าย เป็นเรื่อง จีนซัวบ้วย (ไหฮง)

จีนแต้จิ๋วทั่วๆ ไปไม่ยอมรับจีนซัวบ้วยเป็นพวก แต่ภาษาซัวบ้วย คือภาษาจีนแต้จิ๋วถิ่นหนึ่ง จึงต้องอนุโลมนับจีนซัวบ้วยเป็นสาขาหนึ่งของจีนแต้จิ๋ว

ซัวบ้วย เป็นชื่อจังหวัดหรือเมือง ตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ.2530 เดิมพื้นที่จังหวัดนี้เป็นอำเภอไหฮง ต่อมามีการแบ่งพื้นที่ออกมาตั้งอำเภอลกฮง ซัวบ้วยก็ยังเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอไหฮง

พื้นที่ซัวบ้วยเป็นท่าเรือและศูนย์กลางการค้า เช่นเดียว กับซัวเถา เจริญรุ่งเรืองมีฐานะเป็นตัวจังหวัดปกครองอำเภอไหฮง อำเภอลกฮง และอำเภอลกฮ้อ ซึ่งแยกออกมาภายหลัง

สภาพภูมิประเทศ ซัวเถา แปลว่า ต้นสันทรายชายหาด สันทรายเป็นแนวยาวเชื่อมต่อกับ ซัวบ้วย ซึ่งแปลว่า ปลาย– สันทรายชายหาด ในช่วงราชวงศ์ฮั่น ซัวบ้วยมีฐานะเป็นอำเภอ ชื่อเดิม ไหฮง ซึ่งแปลว่า ทะเลอันอุดมสมบูรณ์

พ.ศ.1563 ราชวงศ์ซ่ง รัชกาลยงเจิ้ง ราชวงศ์ชิง แยกพื้นที่อำเภอไหฮงส่วนหนึ่ง ตั้งอำเภอลกฮง ขึ้นกับเมืองฮุ่ยโจทั้งสองอำเภอ ตำบลซัวบ้วยเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอไหฮง ช่วงนี้ซัวเถากับซัวบ้วยแยกอยู่คนละจังหวัด

ชาวแต้จิ๋วซัวเถา นิยมเรียกจีนซัวบ้วยว่าชาวไหฮง ชาวไหลกฮง ถือว่าไม่ใช่ชาวแต้จิ๋ว

ยุคสาธารณรัฐ พ.ศ.2531 ซัวบ้วยซึ่งเปลี่ยนฐานะไปมาหลายครั้ง ถูกยกเป็นจังหวัด แบ่งการปกครองเป็นสี่ส่วน คือ เทศบาลซัวบ้วย อำเภอไหฮง เมืองลกฮง และอำเภอลกฮ้อ

ภาษาซัวบ้วย มีความหลากหลายต่างจากถิ่นแต้ซัว (สามเมืองแต้จิ๋ว) ประชากรส่วนใหญ่ของไหฮง ลกฮง และเขตเทศบาลซัวบ้วย พูดภาษาฮกล่อ ภาษาแต้จิ๋วท้องถิ่น

มีฝั่งทะเลยาว 302 กม. พื้นที่ราบ 56% ภูเขาและโขดเขาราว 44% มีภัยธรรมชาติ พายุไต้ฝุ่น น้ำป่าไหลหลาก คลื่นยักษ์ และน้ำทะเลท่วม รุนแรงกว่าถิ่นแต้ซัว เพราะอยู่กลางแนวพายุไต้ฝุ่นจากทะเลจีนใต้ ที่พัดเข้าหาภาคพื้นทวีป คลื่นอันเกิดจากอิทธิพลดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จึงรุนแรงกว่าธรรมชาติโดดเด่นของซัวบ้วยคือทะเล มีคำกล่าว จากซัวเถาถึงซัวบ้วย แสนสวยน้ำทะเลใต้ คลื่นและหาดงามเป็นพิเศษ มองไกล เห็นภาพคลื่นไล่คลื่น คลื่นตีคลื่น คลื่นซ้อนคลื่น คลื่นอัดคลื่น เป็นรูปลักษณ์ต่างๆที่มนุษย์ไม่มีวันสร้างได้

อยู่ในถิ่นที่มีภูมิภาคเหมือนแต้จิ๋ว คนซัวบ้วยจึงมีนิสัยเหมือนแต้จิ๋ว ออกทะเลไปตั้งหลักแหล่งไปในถิ่นโพ้นทะเลมาก

อาจารย์ถาวรบอกว่า จีนซัวบ้วย มีความเป็นมาทางชาติพันธุ์คล้ายจีนแต้จิ๋วในถิ่นแต้ซัว คือเป็นพวกเย่ว์ ผสมกับจีนจงหยวนจากฮกเกี้ยน ที่พิเศษกว่าคนแต้จิ๋ว ก็คือ คนซัวบ้วยมีสายเลือดคนมองโกลรวมอยู่ด้วย

ยุคโบราณ ถิ่นซัวบ้วยเป็นถิ่นพวกเย่ว์ สมัยราชวงศ์ฉินต้นราชวงศ์ฮั่น มีพวกหมิ่นเย่ว์เป็นกลุ่มหลัก แต่เพราะอยู่ใกล้ถิ่นกวางตุ้ง จึงมีพวกหนันเย่ว์ปนอยู่บ้าง เมื่อชาวฮั่นอพยพหนีภัยสงครามจากจงหยวนลงมาในสมัยราชวงศ์จิ้น มีน้อยมากที่มาถึงซัวบ้วย ซึ่งสมัยนั้นยังทุรกันดารและห่างไกลมาก

สมัยราชวงศ์ถังและซ่ง เริ่มมีพวกฮกเกี้ยนอพยพเข้ามา บางพวกผ่านแต้จิ๋วมาซัวบ้วยเลย แต่ส่วนใหญ่อยู่แต้จิ๋วก่อน ช่วงราชวงศ์หมิง ถึงต้นชิงจึงอพยพมาซัวบ้วย บางพวกเลยไปถึงแหลมเหลยโจว และเกาะไหหลำ กลายเป็นจีนไหหลำ

ที่น่าสนใจ ช่วงปลายราชวงศ์หยวน ต่อต้นราชวงศ์หมิง ชาวมองโกลซึ่งมาปกครองดินแดนแถบมณฑลฮกเกี้ยน และกวางตุ้ง กลุ่มหนึ่งหนีการไล่ล่าบดขยี้ของทหารจีนเข้ามาถิ่นซัวบ้วย

มองโกลกลุ่มนี้ ผสมกับคนที่อยู่มาก่อน และคนที่อพยพเข้ามาทีหลัง กลายเป็นจีนซัวบ้วย หรือจีนไปลกฮงในปัจจุบัน

เนื่องจากสายพันธุ์หลักเป็นจีนแต้จิ๋ว แต่มีจีนแคะและกวางตุ้งผสม จีนซัวบ้วยจึงฉลาดหลักแหลมเหมือนจีนแต้จิ๋ว ซึมซับเอาความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของจีนแคะ ความมีไหวพริบของจีนกวางตุ้งเข้ามาผสม ทั้งได้ความดุร้ายของมองโกลเข้ามาเจือ ทำให้จีนซัวบ้วยเป็นจีนที่เก่งและดุร้าย จนมีชื่อเลื่องลือไปทั่ว มีคำกล่าว บนฟ้ามีเทพอสุนีบาต บนดินมีชาวไหลกฮง

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โจรไหลกฮง จับลูกชายหลีเจียเฉิง อภิมหาเศรษฐีจีนฮ่องกงไปเรียกค่าไถ่ ประวัติทางการเมือง คนซัวบ้วยประกาศตัวร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ท้องถิ่นแห่งแรกของจีน ตั้งแต่ พ.ศ.2468 แต่ต่อมา หัวหน้าก็ถูกรัฐบาลก๊กมินตั๋งจับไปสังหารที่เซี่ยงไฮ้

เพราะนิสัยเหี้ยมหาญ กล้าเสี่ยงภัย คนจีนซัวบ้วยกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาอยู่เมืองไทย ตั้งแต่สมัยอยุธยา

หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ ซึ่ง ก.ศ.ร.แต่งเติม บรรยายว่า พระชนกของพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นจีนไหยฮอง 

ชื่อ หยง แซ่แต้

จีนไหยฮองของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ก็คือจีนจากอำเภอไหฮง หรือไหลกฮง หรือจีนซัวบ้วย นี่เอง.

 

บาราย

โดย: บาราย

27 พฤศจิกายน 2554, 05:00 น.

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

1. บ้านลอยน้ำ 2.บ้านครึ่งบกครึ่งน้ำ และ 3.บ้านลอยฟ้า

 

คุณจะเลือกลอยเหนือน้ำ หรือบ้านเหนือเมฆ?

เราเคยคิดว่า กรุงเทพมหานคร เป็นสมรภูมิที่มั่นคง ปราศจากภัยธรรมชาติแน่นอน แต่มานาทีนี้ ที่คนกรุงเทพฯ หลายๆ คนคงแทบไม่เชื่อว่าต้องรับมือกับภาวะน้ำยืดเยื้อ จนซีเชื่อว่า หลายคนเริ่มเข้าสู่จินตนาการอันใกล้ๆ ว่าปีหน้าจะมาขนาดไหนเนี้ย?...


วันนี้ซีขอพาทุกคนกระโดดข้ามปี 2012 ไปถึงปี 2030 อีกเกือบๆ 20 ปีข้างหน้า นักวิชาการไทยออกมาคาดว่า ทฤษฎีน้ำท่วมโลกจะเป็นจริง และเมืองกรุงก็ถูกเตือนเหลือเกินเรื่องปัญหาน้ำทะเลหนุนสูง จนมีคำทำนายว่า ปี 2030 น้ำทะเลจะกินพื้นที่กรุงเทพฯ 1 เมตร 50!!!


ถ้าพูดปีก่อน คนกรุงเทพฯ คงยากจะเชื่อ แต่พอสมทบกับแหล่งข่าวอย่าง UN ที่เพิ่งออกมาเตือนไทยว่า กรุงเทพฯ จะกลายเป็นทะเลในปี 2050 เพราะสภาพดินชั้นบนเราเป็นดินอ่อน แถมปริมาณคนอยู่บนอาคารเยอะขึ้นทุกวัน ทำให้ดินชั้นล่างซึ่งเป็นดินเหนียวยวบลง นี่คือความยากต่อการจัดการปัญหาน้ำท่วมนี้


คำถามคือ...แล้วเราจะอยู่กันยังไง?


ไอทีบางทีก็เหมือนสร้างฝัน แต่เมื่อที่มันทำได้จริง เราก็ตื่นเต้นไม่น้อย วันนี้ซีมีบ้าน 3 แบบมาให้เลือกอยู่ค่ะ

1. บ้านลอยน้ำ 2.บ้านครึ่งบกครึ่งน้ำ และ 3.บ้านลอยฟ้า

ต้องบอกว่า ทั้งสามไอเดียไม่ใช่เรื่องใหม่ และล่าสุดมีไอเดียคนไทยด้วย (http://spluspba.weebly.com) (http://tinyurl.com/bw4m8d6)





1.บ้านลอยน้ำ

 

ขอพาไปดูบ้านลอยน้ำก่อนค่ะ บริษัทออกแบบสถาปนิกไทยร่วมออกไอเดียโปรเจกต์  Aqua City-Wetropolis หรือ Waterpolis  โดยบริษัท S Plus PBA เสนอแย้งไอเดียขวางทางน้ำ ด้วยการไม่สร้างติดพื้นก็สิ้นเรื่อง เพราะคาดว่าต่อไปน้ำจะท่วมบ่อย กัดเซาะดินขึ้นทุกปี จึงชูการออกแบบสถาปัตยกรรมบนน้ำ ทางเดิน ถนน เชื่อมต่อกันในแบบเส้นโค้งที่สามารถเปลี่ยนตามกระแสน้ำเคลื่อนตัว ซีขอเรียกว่า สิ่งก่อสร้างแบบไหลตามน้ำค่ะ ก็ดูมันออกจะลู่ลมไปตามทางน้ำขนาดนั้น ซึ่งคนเมาเรือคงต้องวิวัฒนาการเยอะหน่อยนะคะงานนี้



2. บ้านครึ่งบกครึ่งน้ำ

อันนี้เป็นไอเดียเทคโนโลยีกู้หน้ายามน้ำท่วมแบบดีไซน์หรู แต่มีอยู่จริง อยู่ในกรุงธากา บังกลาเทศ ไม่ใช่คอนเซปต์สร้างฝัน หลักการคือ น้ำท่วมบ้านจะลอยน้ำ น้ำลดบ้านอยู่บนดิน ใช้โครงสร้างและผนังทำจากไม้ไผ่ ส่วนฐานและกลางมีคอนกรีตเสริมเหล็กและอิฐ แต่ที่แปลกคือมีวัสดุแบบ ขวดพลาสติด 8,500 ใบให้ลอยน้ำได้อยู่ด้วย เป็นการเรียนรู้เร็วของประเทศกำลังพัฒนาอย่างบังกลาเทศ ทึ่ใช้วัสดุพอเพียง และปรับตัวไวทันสถานการณ์โลก (http://board.postjung.com/575925.html)


3. สุดท้ายคือ บ้านลอยฟ้า ( http://www.diginfo.tv/2010/11/02/10-0196-r-en.php)
อยู่กับน้ำมากๆ บางคนเกลียดน้ำ อาจชอบไอเดียของญี่ปุ่นอันนี้ ซึ่งไม่รู้ได้แรงบันดาลใจจากบ้านแคปซูลโดราเอมอนด้วยรึเปล่าเพราะเหมือนมากๆ เป็นคอนเซปต์แต่ดูญี่ปุ่นเอาจริงเพราะจำลองโมเดลไว้แล้ว และมีวิธีคิดรายละเอียดไว้หมดแล้วด้วย โดยไอเดียเค้าคือสร้างตึกสูงขึ้นไปเลย 1,000 เมตร ในบริเวณเส้นศูนย์สูตร เป็นเมืองบนฟ้าเพราะระดับความสูงที่อยู่บนจุดนี้จะมีอุณหภูมิคงที่ตลอดทั้งปีที่ 26 องศาเซลเซียส และไม่มีไต้ฝุ่น ดูเหมือนจะเป็นไอเดียหลบภัยธรรมชาติในแบบที่เค้าประสบมา แต่ก็น่าจะใช้ดีในยามนี้เหมือนกันค่ะ ที่ชอบคือ แนวคิดการทำฟาร์มแนวตั้ง เพราะนี่คือสิ่งที่เมืองเกษตรอาจลืมตั้งรับ ถ้าไม่มีดินเราจะปลูกอะไรที่ไหน ต่างประเทศที่ไม่มีที่ให้ปลูกคิดได้ตั้งนานแล้วถึงฟาร์มแนวตั้งแบบในน้ำมีปลาในนามีข้าว ซึ่งจะขอเล่าในสัปดาห์หน้านะคะ


คุณผู้อ่านทุกคนจะเลือกแบบไหนใน 3 แบบนี้คะ ซีมีในใจแล้วล่ะ.

 


ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์


ขอบคุณภาพจาก
http://spluspba.weebly.com
http://board.postjung.com
http://www.diginfo.tv

 

โดย: ซี ฉัตรปวีณ์

23 พฤศจิกายน 2554, 05:30 น.

http://m.thairath.co.th/content/tech/218418

กสทช. เตรียมคลอดแผนบริหารฯ เม.ย.’55 พร้อมตั้งสูตรคืนคลื่น 5/10/15 ปี

กสทช. เตรียมคลอดแผนบริหารฯ เม.ย.'55 พร้อมตั้งสูตรคืนคลื่น 5/10/15 ปี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์23 พฤศจิกายน 2554 22:07 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
กสทช.คาดแผนคลื่นความถี่ฯเสร็จภายในเดือนเม.ย.'55 พร้อมเปิดประชาพิจารณ์ม.ค.นี้ โดยกำหนดสูตรคืนคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงคืนใน 5 ปี โทรทัศน์ 10 ปี โทรคมฯภายใน 15 ปีโดยมีผลทันทีหลังบังคับใช้แผนบริหารฯ ส่วนประเด็น 1 ปณ.บอร์ดยังตกลงเรื่องระยะเวลากันไม่ได้รอความชัดเจนสัปดาห์หน้า พร้อมเผย กสทช.มีคดีที่ถูกฟ้องอยู่กว่า 61 คดีที่ศาลปกครอง
       
       น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยถึงวาระการประชุมบอร์ดวันนี้(23 พ.ย.) ว่าที่ประชุมมีมติสรุปในเรื่องการดำเนินการจัดทำร่างแผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่แห่งชาติ ซึ่งยึดหลักร่างแผนเดิมที่บอร์ดเก่ากทช.ร่างไว้ก่อนหน้า โดยคาดว่าภายในการประชุมบอร์ดครั้งหน้า วันที่ 30 พ.ย.จะมีการรับรองมติที่ประชุม และนำแผนบริหารคลื่นความถี่ฉบับเต็มขึ้นประกาศในเว็บไซค์ของสำนักงานกสทช. และน่าจะมีการจัดทำประชาพิจารณารับฟังความเห็นสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) ได้ในเดือนม.ค.คาดหากไม่มีการฟ้องร้องจะได้เห็นแผนฯฉบับสมบูรณ์ในเดือนเม.ย.ปี2555 หลังจากนั้นจะมีผลบังคับใช้ทันทีในการเรียกคืนคลื่น แต่ไม่รวมคลื่นที่อยู่ในสัมปทานเนื่องจากมีระยะเวลากำหนดในการคืนคลื่นอยู่แล้วตายตัว
       
       อย่างไรก็ดี ที่ประชุมมีข้อสรุปกรอบระยะเวลาคืนคลื่นความถี่ทุกประเภทหลังจากเมื่อครั้งที่แล้วยังไม่ได้ข้อสรุป โดยกำหนดให้กิจการวิทยุกระจายเสียงต้องคืนคลื่นภายใน 5 ปี กิจการโทรทัศน์ต้องส่งคืนคลื่นใน 10 ปี และกิจการโทรคมนาคมภายในระยะเวลา 15 ปี โดยอ้างฐานการคำนวณเป็นไปตามอายุของไลเซ่นใหม่ที่จะออกให้ผู้ประกอบการ โดยเปลี่ยนแปลงจากร่างแผนบริหารคลื่นความถี่ฉบับเดิมที่กำหนดระยะเวลาในการคืนคลื่นทุกประเภทในเวลา 15 ปี แต่หากคลื่นความถี่ที่ถือครองได้รับสิทธิ์ตามสัญญาสัมปทาน จะต้องคืนคลื่นทันทีที่สัมปทานสิ้นสุด
       
       ทั้งนี้วิธีการคำนวณระยะเวลาการคืนคลื่นประเภทต่างๆ ได้คำนวณจากการออกใบอนุญาตใหม่ ตามสิทธิ์ของกสทช.ที่ตามพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่กำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 (พ.ร.บ.กสทช.) ที่กำหนดให้ไลเซ่นใหม่ของกิจการวิทยุกระจายเสียงมีอายุ 7 ปี กิจการโทรทัศน์มีอายุ 15 ปี ซึ่งคำนวณระยะเวลาการคืนคลื่นจาก 2 ใน 3 ของการให้ใบอนุญาตใหม่
       
       ขณะที่ในส่วนกิจการโทรคมนาคมจะคำนวณจากฐานการให้สัญญาสัมปานของ บมจ.ทีโอทีเฉลี่ยที่ 12 ปี ส่วนหลักการทำวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์สาธารณะจะต้องจัดทำให้เสร็จใน 4 ปี
       
       โดยขั้นตอนหลังจากแผนบริหารคลื่นความถี่ประกาศทางเว็บไซค์แล้ว กสทช.จะมีการเรียกหน่วยงานประชุมหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องมีการถือครองคลื่นประเภทต่างๆเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันเกี่ยวกับกรอบการคืนคลื่น
       
       ท้ายสุดที่ประชุมนำเรื่องกรณีการเรียกคืนคลื่นความถี่วิทยุ 1 ปณ.โดยบอร์ดมีมติให้บอร์ดกิจการวิทยุกระจายเสียง-โทรทัศน์ (กสท) กลับไปพิจารณากรอบการเรียกคืนคลื่นมาใหม่ในสัปดาห์หน้า เนื่องจากบอร์ดยังตกลงเกณฑ์ระยะเวลาในการคืนคลื่นไม่ได้ จากเดิมที่บอร์ดตั้งกรอบเวลาในการคืนคลื่นในเวลา 6 เดือน เนื่องจากสัญญา 1ปณ.จะหมดลงในวันที่ 30 ธ.ค.2554
       
       อีกทั้งที่ประชุมยังมีวาระเรื่องคดีความของกสทช.ที่ถูกฟ้องอยู่ในศาลปกครองในปัจจุบันกว่า 61 คดี แบ่งเป็นคดีวิทยุกระจายเสียง และโทรทัศน์ 2 คดี คดีที่เกี่ยวกับโทรคมนาคม 47 คดี และอีก 12 คดีที่เกี่ยวกับในส่วนกรรรมการ และอนุกรรม โดยทั้งหมดบอร์ดมีมติมอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนนั้นๆไปดูแลดำเนินการให้แล้วเสร็จ

http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000149632

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ชาวบ้านรื้อบิ๊กแบ็กแยก คปอ.หมด กทม.รับกระทบพหลฯ-ดอนเมือง

 

ชาวบ้านรื้อบิ๊กแบ็กแยก คปอ.หมด กทม.รับกระทบพหลฯ-ดอนเมือง

กทม. ยอมรับ รื้อ 'บิ๊กแบ็ก' กว่า 30 ม.แยกคปอ. ทำกระทบพหลโยธิน ดอนเมือง สายไหม จ่อหารือ ศปภ. แต่ยอมเปิดประตูระบายน้ำคลองขุนศรีบุรีรักษ์ คลองควาย และคลองซอย 1 เมตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนชาวนนทบุรีแล้ว

วันที่ 23 พ.ย. ศาลาว่าการกทม.  ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการ กทม. เปิดเผยภายหลังจากประเมินผลกระทบสถานการณ์น้ำกว่า 30 ชั่วโมง ในพื้นที่โดยรอบหลัง จาก กทม.เปิดประตูระบายน้ำ 3 แห่ง ได้แก่ ประตูระบายน้ำคลองขุนศรีบุรีรักษ์ ประตูระบายน้ำคลองควาย และประตูระบายน้ำคลองซอย ที่ระดับ 75 ซม. เพื่อระบายน้ำจากพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนปรากฏว่ามีผลกระทบเกิดขึ้น แต่อยู่ในขอบเขตจำกัด ดังนั้นตั้งแต่บัดนี้ กทม.จะเปิดประตูระบายน้ำทั้ง 3 แห่ง ที่ระดับ 1 เมตร ตามข้อตกลงที่ได้หารือร่วมกับ ศปภ. เมื่อวันที่ 21 พ.ย.54

 

อย่างไรก็ตาม กทม.ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเพิ่มหรือลดระดับประตูระบายน้ำทั้ง 3 แห่ง ตามความเหมาะสม หากเกิดผลกระทบเพิ่มขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามอำนาจหน้าที่และตามคำสั่งของ ศปภ.ที่ให้ กทม.เปิดประตูระบายน้ำในระดับที่เหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่กรุงเทพฯ  พร้อมกันนี้ กทม.จะทำหนังสือเป็นทางการไปยัง ศปภ. และกรมชลประทาน เพื่อขอความร่วมมือในการเปิดประตูระบายน้ำ 2 แห่งซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน ได้แก่ ประตูระบายน้ำฉิมพลี เพื่อระบายน้ำลงสู่คลองบางกอกน้อย และประตูระบายน้ำนครชัยศรี เพื่อผันน้ำคลองมหาสวัสดิ์ลงสู่คลองในพื้นที่ด้านตะวันตกต่อไป ซึ่งประตูระบายน้ำทั้ง 2 แห่งนี้ จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในจังหวัดนนทบุรีได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน

 

 

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการชุมนุมและรื้อกระสอบทรายยักษ์ หรือ บิ๊กแบ็ก เป็นแนวยาวกว่า 30 เมตรบริเวณแยก คปอ. ดอนเมือง นั้น กทม.จำเป็นต้องหารือกับ ศปภ.เนื่องจากเป็นเจ้าของโครงการ โดยการรื้อบิ๊กแบ็กบริเวณดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่บริเวณถนนพหลโยธิน เขตดอนเมือง เขตสายไหม คลองสอง คลองบางบัว และพื้นที่ต่อเนื่องด้วย

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. ชาวบ้านกว่า 200 คนได้เข้ารื้อแนวกระสอบบิ๊กแบ็กบริเวณแยกกรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ (คปอ.) ขณะที่มีตำรวจตรึงกำลังโดยรอบบริเวณ แต่ไม่มีตัวแทนของ กทม.มาเจรจากับแกนนำชาวบ้านมาเจรจาแต่อย่างใด จนชาวบ้านไม่พอใจรื้อบิ๊กแบ็กออกจนเกือบหมดแนว

ทางด้าน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กล่าวถึงการรื้อแนวกั้นน้ำทั้งหมดที่แยก คปอ. ตรงข้ามโรงเรียนนายเรืออากาศดอนเมือง ว่า ได้ประสานกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) และทราบว่าเบื้องต้นปริมาณน้ำที่ไหลไปตามถนนพหลโยธินยังไม่ส่งผลต่อพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ส่วนความขัดแย้งระหว่างชาวนนทบุรีและกรุงเทพมหานคร ล่าสุดได้ประสานผู้ว่าฯ กทม. และได้รับการยืนยันว่ายอมให้เปิดประตูน้ำ ระดับความสูง 1 เมตรทั้ง 3 ประตู

อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อเรียกร้องของชาวนนทบุรีที่มีการร้องศาลปกครองในประเด็นให้ยุติ ประเด็นหนึ่ง คือ การให้เปิดประตูระบายน้ำ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการแล้ว อย่างไรก็ตาม อีกประเด็น คือ การให้ยุติกู้ถนนกาญจนาภิเษก และถนน 340 ตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ขอยืนยันว่าการกู้ถนนยังมีความจำเป็น แต่จะพิจารณาปรับแนวทางไม่ให้ขวางทางน้ำ และให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด

ส่วนการชุมนุมที่จังหวัดปทุมธานีเพื่อกดดันให้เร่งระบายน้ำเช่นกัน ว่า นอกจากนนทบุรีและปทุมธานีแล้ว อาจมีประชาชนที่อื่น ๆ ชุมนุมกดดันอีก ซึ่งต้องใช้การแก้ปัญหาเป็นจุด ๆ เพราะประเด็นสำคัญขณะนี้ คือ ประชาชนทั้งเหนือและใต้แนวคันกั้นน้ำต่างได้รับความเดือดร้อนเหมือนกันหมด

"เหนือคันกั้นน้ำก็เดือดร้อน น้ำก็เน่า ยุงก็ชุม แต่หากเปิดให้ระบายลงมา ตอนล่างที่ท่วมอยู่แล้วก็จะเดือดร้อนไปอีก ก็ต้องหาแนวทางจะทำอย่างไรให้ช่วยแบ่งเบา และอยู่กันได้ ไม่เดือดร้อนเพิ่ม" พล.ต.อ.ประชา กล่าว

ผู้อำนวยการ ศปภ. ยังกล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาขณะนี้ ว่า นอกจากการทำความเข้าใจกับประชาชนแล้ว สำคัญที่สุด คือ ต้องเร่งระบายน้ำ ทั้งฝั่งเจ้าพระยาและท่าจีนให้ได้มากที่สุด ก่อนที่น้ำทะเลจะกลับมาหนุนอีกครั้งในวันที่ 25 พ.ย.นี้.

 

โดย: ไทยรัฐออนไลน์

23 พฤศจิกายน 2554, 18:56 น.

http://www.thairath.co.th/content/region/218705

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กรมชลฯจัดเครื่องสูบน้ำมอบทั่วประเทศอีก 1,067 เครื่อง

กรมชลฯจัดเครื่องสูบน้ำมอบทั่วประเทศอีก 1,067 เครื่อง

อธิบดีกรมชลประทานจัดส่งเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำเร่งระบายน้ำ ช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัย 42 จังหวัด 1,067 เครื่อง ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง...

เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) นาย ชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า  กรมชลประทานได้จัดส่งเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำ ให้หน่วยงานต่างๆ เพื่อเร่งระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ โดยที่ผ่านมาได้ระดมเครื่องสูบน้ำจากจังหวัดที่ไม่เกิดปัญหาอุทกภัยเข้ามา ติดตั้งในพื้นที่น้ำท่วมตามความเหมาะสมทั้ง 42 จังหวัด รวม 1,067 เครื่อง อาทิ กรุงเทพมหานคร 31 เครื่อง ติดตั้งในคลองมหาสวัสดิ์ คลองลาดพร้าว คลองแสนแสบ และจัดเจ้าหน้าที่ไปดูแลเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ ให้สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขังด้วย ส่วนน้ำท่วมขังใน จ.นครปฐม โครงการชลประทานจังหวัดนครปฐมได้เข้าไปควบคุมประตูระบายน้ำ และส่งเครื่องสูบน้ำลงพื้นที่ 65 เครื่อง รวมทั้งติดเครื่องผลักดันน้ำที่สะพานสำโรง-ลานตากฟ้า อ.นครชัยศรี 44 เครื่อง เร่งระบายน้ำออกทะเลอย่างต่อเนื่อง.

โดย: ไทยรัฐออนไลน์

23 พฤศจิกายน 2554, 15:13 น.


รอการลงโทษ

 

รอการลงโทษ

วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 14:13:20 น.

Share5




สราวุธ เบญจกุล 

"แต่เนื่องจากคดีแต่ละคดีมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน

 

ประกอบกับความประพฤติและมูลเหตุชักจูงใจของผู้กระทำความผิดแต่ละคน

 

ก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป

 

ทำให้ศาลไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยเท่ากันในทุกกรณี"

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

...เมื่อมีคดีสำคัญเกิดขึ้น ทุกคนในสังคมต่างจับตามองว่าผลของคดีจะเป็นอย่างไร    ศาลจะพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างไร หลายครั้งเมื่อเสร็จสิ้นการพิจารณาคดีแล้วศาลไม่ได้พิพากษาลงโทษจำคุกผู้กระทำความผิดโดยทันที แต่ศาลได้มีคำพิพากษาให้รอการลงโทษ หรือรอการกำหนดโทษผู้กระทำความผิดไว้ก่อน ทำให้เกิดความสงสัยว่าการรอการลงโทษคืออะไร แตกต่างกับการรอการกำหนดโทษหรือไม่ และมีหลักเกณฑ์การนำมาใช้และพิจารณาอย่างไร 
 

 

ทั้งนี้ การพิจารณาพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดในคดีอาญา กฎหมายกำหนดให้ศาลต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น โดยการกำหนดโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และศาลจะลงโทษนอกเหนือไปจากที่บัญญัติไว้ไม่ได้ แต่เนื่องจากคดีแต่ละคดีมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ประกอบกับความประพฤติและมูลเหตุชักจูงใจของผู้กระทำความผิดแต่ละคนก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป ทำให้ศาลไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยเท่ากันในทุกกรณี
 

 

การรอการลงโทษและการรอการกำหนดโทษจึงเป็นกระบวนการที่กฎหมายให้โอกาสผู้กระทำความผิดกลับตัวก่อนที่จะได้รับโทษจำคุกจริงๆ โดยให้ผู้กระทำความผิดมีโอกาสกลับตัวเป็นคนดี อันจะเป็นประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมมากกว่าที่จะลงโทษจำคุกผู้กระทำผิด

 

การรอการลงโทษและการรอการกำหนดโทษเป็นวิธีการลงโทษผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ในความผิดที่ไม่ร้ายแรงมากนัก กล่าวคือมีโทษจำคุกระยะสั้น คือ ไม่เกิน 3 ปี และผู้นั้นไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ ประกอบกับมีเหตุผลสมควรที่แสดงว่าผู้นั้นอาจกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้

 

 

ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกำหนดโทษไว้ คือ ยังไม่กำหนดโทษว่า จะให้จำคุกเป็นเวลาเท่าใดโดยให้รอไปก่อน หรือ กำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ คือ มีการกำหนดโทษไว้แล้วแต่ยังไม่มีการลงโทษ แล้วปล่อยตัวไปเพื่อให้โอกาสผู้นั้นกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดแต่ต้องไม่เกิน 5 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นเพื่อให้หลาบจำด้วยหรือไม่ก็ได้

 

เงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้กระทำความผิดนั้น ศาลอาจกำหนดข้อเดียวหรือหลายข้อ เช่น ให้ไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานที่ศาลระบุไว้เป็นครั้งคราว เพื่อเจ้าพนักงานจะได้สอบถาม แนะนำ ช่วยเหลือหรือตักเตือนตามที่เห็นสมควรในเรื่องความประพฤติและการประกอบอาชีพ หรือจัดให้กระทำกิจกรรมบริการสังคม หรือสาธารณประโยชน์ตามที่เจ้าพนักงานและผู้กระทำความผิดเห็นสมควร ให้ฝึกหัดหรือทำงานอาชีพอันเป็นกิจจะลักษณะ ให้ละเว้นการคบหาสมาคมหรือการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก ให้ไปรับการบำบัดรักษาการติดยาเสพติดให้โทษ ความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจ หรือความเจ็บป่วยอย่างอื่น ณ สถานที่และตามระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรือเงื่อนไขอื่น ๆ ตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดเพื่อแก้ไข ฟื้นฟูหรือป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดกระทำหรือมีโอกาสกระทำความผิดขึ้นอีก

 

 

ทั้งนี้ ศาลต้องคำนึงถึงลักษณะของผู้กระทำความผิดประกอบด้วย คือ อายุ  ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา เช่น เป็นผู้มีความประพฤติอยู่ในศีลธรรมอันดี กระทำความผิดเพราะโง่เขลาเบาปัญญา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือหลงเข้าใจว่าไม่เป็นความผิด เป็นต้น

 

การศึกษาอบรม เช่น ผู้กระทำความผิดอยู่ระหว่างศึกษาและหมายความรวมถึงระดับการศึกษาของผู้กระทำความผิด ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1385/2530 ที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ ซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นนิติศาสตร์บัณฑิต และกำลังศึกษาอยู่ในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา

 

 

ศาลเห็นว่า จำเลยเป็นคนมีความรู้ แต่ก็มิได้คำนึงถึงความสูญเสียของส่วนรวม  ในการใช้ให้บุคคลอื่นกระทำผิด ด้วยการนำรถบรรทุก ซึ่งมีน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุกรวมกันเกินกว่าที่ทางการกำหนดถึง 6,100 กิโลกรัม มาวิ่งบนทางหลวงแผ่นดิน

 

 

สุขภาพของผู้กระทำความผิด ถ้าต้องรับโทษอาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อผู้กระทำผิด ภาวะแห่งจิต หมายถึง ผู้มีจิตบกพร่อง เช่น จำเลยมีลักษณะบกพร่องทางจิต อยากได้ของคนอื่นประกอบกับจำเลยได้นำเงินมาคืนผู้เสียหายจนครบถ้วนแล้วและผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดี สมควรรอการลงโทษจำเลยเพื่อให้จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 994/2525) 

 

นิสัย หมายถึง ความประพฤติจนเคยชิน อาชีพและสิ่งแวดล้อม เช่น แม้จำเลยจะมีอาชีพเป็นหลักแหล่งและไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนก็ตาม แต่เป็นเจ้ามือสลากกินรวบขนาดใหญ่ แสดงว่าไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2540)

 

สภาพความผิด เช่น เสพเมทแอมเฟตามีนขณะขับรถบรรทุก เป็นอันตรายแก่ประชาชนทั่วไปที่ใช้ถนน  แม้ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนก็ไม่สมควรรอการลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7683/2544) หรือ กรณีที่เคยถูกลงโทษหรือรอการลงโทษมาแล้วและยังกระทำความผิดอาญาซ้ำอีก แสดงว่าไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและไม่เข็ดหลาบจึงไม่ควรรอการลงโทษ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 743/2479 และ 2008/2541) 

 

เหตุอื่นอันควรปรานี เช่น การลงโทษจำคุกจำเลยในข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างพี่น้อง ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมส่วมรวม โดยเฉพาะความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง จึงควรรอการลงโทษให้กลับตัว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1665/2543)
 


หากภายในเวลาที่ศาลกำหนดผู้กระทำความผิดไม่ได้กระทำความผิดขึ้นอีก   ก็ถือว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดตามที่ศาลพิพากษาแต่ไม่ถูกลงโทษ โดยถือว่าพ้นจากการที่กำหนดโทษหรือการที่จะลงโทษที่รอไว้เป็นเด็ดขาด ไม่ถือว่าเคยรับโทษจำคุกมาเลย
 


แต่หากผู้กระทำความผิดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่ศาลกำหนด ศาลอาจเรียกตัวผู้กระทำความผิดมาตักเตือนให้ปฏิบัติตามเงื่อนไข  หรือในคดีที่รอการกำหนดโทษศาลจะกำหนดโทษที่รอไว้ แล้วลงโทษผู้กระทำความผิด หรือในคดีที่รอการลงโทษศาลอาจเห็นสมควรให้ลงโทษซึ่งรอไว้เสียก็ได้


 

 

ดังนั้น การพิพากษาลงโทษจำคุกผู้กระทำความผิด อาจไม่ใช่เพียงวิธีการเดียวในการป้องกันหรือปราบปรามการกระทำความผิดได้เสมอไป ศาลจึงต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาถึงความแตกต่างในตัวบุคคล และข้อเท็จจริงประกอบการกระทำของผู้กระทำความผิดแต่ละคนว่าสมควรที่จะลงโทษจำคุกบุคคลนั้นหรือไม่ หรือจะพิจารณาใช้วิธีการอื่น เช่น การรอการลงโทษหรือการรอการกำหนดโทษซึ่งเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผู้กระทำความผิดสามารถกลับตัวเป็นพลเมืองดี และประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมได้

 

 

สราวุธ เบญจกุล
รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม


วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มวลน้ำเหลือค้างอีก 6 พันล้านลบ.ม. คาดกทม.จม 1 เดือน

 

มวลน้ำเหลือค้างอีก 6 พันล้านลบ.ม. คาดกทม.จม 1 เดือน

รองปลัด ทส. เผยมวลน้ำเหลือค้างไม่เกิน 6,000 ล้าน ลบ.ม. คาด กทม.จะจมน้ำนาน 1 เดือน เร่งดันน้ำออกทะเลให้มากที่สุดในวันที่ 20 พ.ย. เหตุน้ำทะเลลงต่ำสุด และน้ำจะขึ้นอีกครั้งในวันที่ 28 พ.ย. ...

นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในฐานะประธานศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ศปภ.ทส.) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบมวลน้ำล่าสุดทั้งจากภาพถ่ายดาวเทียม และการตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่แท้จริงคาดการณ์ว่า เวลานี้น่าจะเหลือมวลน้ำอยูไม่เกิน 6,000 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยน้ำส่วนใหญ่จะอยู่ด้านกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกส่วนสาเหตุที่ยังมองเห็นแผนที่ ภาพถ่ายทางอากาศมีน้ำล้อมรอบกรุงเทพฯ ปริมาณมากและยังเป็นพื้นที่กว้างขวางอยู่นั้นตรวจสอบแล้วพบว่า บางพื้นที่เป็นนาเกลือ และแหล่งน้ำขังแต่แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศจะไม่แยกแยะว่าตรงไหน เป็นนาเกลือตรงไหนเป็นพื้นที่น้ำขัง ไม่ใช่น้ำท่วม แต่จะแสดงออกมาเป็นภาพรวมว่านั่นคือพื้นที่ที่มีน้ำทั้งหมด


นายสุพจน์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบและคาดการณ์พบว่า ในวันที่ 20 พ.ย. นี้น้ำทะเลจะลงต่ำสุด สิ่งที่จะต้องรีบทำคือสูบน้ำลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยในเวลานี้แม่น้ำเจ้าพระยายังอยู่ในระดับต่ำกว่าคันกั้นน้ำเกือบ 2 เมตร อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 พ.ย.น้ำทะเลจะหนุนสูงสุดอีกครั้งคือ ราว 30 เซนติเมตร วิธีการแก้ปัญหาในช่วงเวลานั้นคือ การปิดประตูระบายน้ำทั้งหมดโดยสถานการณ์รวมเวลานี้ คาดว่า มวลน้ำน่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ อีกประมาณ 1 เดือน จึงจะระบายออกไปหมด

 

โดย: ทีมข่าวการศึกษา

16 พฤศจิกายน 2554, 01:28 น.

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แยกอรุณฯ –ปิ่นเกล้า แห้งเกือบเป็นปกติ ชาวบ้านแห่ดูรถจอดไว้บนสะพาน พบบางคันถูกเฉี่ยวชนพัง

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554 เวลา 19:00 น

  Bookmark and Share

แยกอรุณฯ –ปิ่นเกล้า แห้งเกือบเป็นปกติ ชาวบ้านแห่ดูรถจอดไว้บนสะพาน พบบางคันถูกเฉี่ยวชนพัง

เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณเชิงสะพานพระรามแปด ฝั่งธนบุรี ผ่านแยกอรุณอัมรินทร์ ผ่านหน้าห้างพาต้า ผ่านแยกบรมราชชนนี จนมาถึงหน้าห้างเมเจอร์ปิ่นเกล้า น้ำที่เคยท่วมขังได้แห้งไปจนหมดแล้ว ใกล้จะเข้าสู่ภาวะปกติ เหลือเพียงซากฝุ่น ขยะ รวมทั้งเศษดินจำนวนมาก ที่ยังเกลื่อนกลาดเต็มถนน ต้องรอเจ้าหน้าที่มาทำความสะอาด ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยย่านนี้ต่างเดินทางกลับมาที่บ้านเพื่อชำระล้าง ปัดกวาดเช็ดถูข้าวของต่างๆ ร้านค้าก็ทยอยเปิดกิจการได้พอสมควร ส่วนเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า และเชิงสะพานอรุณอัมรินทร์ ยังมีน้ำท่วมขังอยู่ แต่น้ำได้ลดระดับลงไปจนเหลือ 20 – 40 ซม.เท่านั้น จึงเริ่มมีรถเล็กขับสัญจรได้แล้ว ขณะเดียวกัน ประชาชนจำนวนมากได้ขึ้นมาดูรถของตัวเองที่จอดทิ้งไว้บนสะพานหลายวัน หลังจากเจ้าหน้าที่ประกาศให้เจ้าของรถเคลื่อนรถลงไปข้างล่าง บางคันก็อยู่ในสภาพปกติ บางคันก็ถูกเฉี่ยวชนจนพังยับเยิน ซึ่งคาดว่าน่าจะไม่เกิน 2-3 วัน บนลอยฟ้าน่าจะไม่มีรถจอดหลงเหลืออยู่.