เชิญสื่อมวลชนและผู้สนใจทำข่าว นัดฟังคำสั่งชี้ขาดคำร้องอุทธรณ์
กรณีชาวบ้าน อ.บางสะพาน ร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ร้องสอด
คดีเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดิน 52 แปลงใน ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
คดีหมายเลขดำที่ 1335/2553
วันพุธ ที่ 28 กันยายน 2554 เวลา 10.00 น.
ณ ศาลปกครองกลาง ชั้น 3 ห้องพิจารณาคดี 13
ปกป้องพื้นที่สาธารณะจำนวน 52 แปลง รวม 798 ไร่
บทพิสูจน์ สิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน
สิทธิชุมชนในการจัดการ การบำรุงรักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน
ตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
เป็นเรื่องของประชาชน ชุมชนร่วมกัน หรือของรัฐฝ่ายเดียว
__________________________________________________________________________
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ชาวบ้าน 12 หมู่บ้านในต.กำเนิดนพคุณ ต.ธงชัย ต.แม่รำพึง และต.พงษ์ประศาสน์ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 33 คน ร่วมกันยื่นคำร้องสอดคดีเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน 52 แปลง ในพื้นที่ ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มีชื่อบริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) กับบริษัทในเครือเป็นผู้ครอบครอง คดีหมายเลขดำที่ 1335/2553 ระหว่าง บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 8 คน ผู้ฟ้องคดี กับ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ผู้ถูกฟ้องคดี
เพราะเห็นว่าการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 52 แปลง ซึ่งอยู่ในเขตป่าคุ้มครองและป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง โดยพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเป็นพื้นที่ป่าชายเลน อันเป็นสาธารณะสมบัติดั้งเดิมของชุมชน มีความอุดมสมบูรณ์และหลากหลายทางชีวภาพ แต่ภายหลังที่กลุ่มบริษัทสหวิริยาได้เอกสารสิทธิ์มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ได้นำที่ดินดังกล่าวไปใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างถนนและท่าเรือน้ำลึก อันส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากการสร้างถนนขวางคลองแม่รำพึงทำให้ระบบนิเวศของป่าชายเลนเปลี่ยนแปลงไป และได้ปิดกั้นเส้นทางระบายน้ำของ อำเภอบางสะพาน ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม พื้นที่สวนและที่อยู่อาศัยของประชาชนได้รับความเสียหาย และการสร้างท่าเรือน้ำลึกทำให้กระแสการไหลของน้ำเปลี่ยนไป จำนวนสัตว์น้ำลดน้อยลง ส่งผลกระทบต่อผู้ที่ประกอบอาชีพประมง เลี้ยงปลาในกระชัง และการท่องเที่ยว
ดังนั้น เมื่อเกิดกรณีกลุ่มบริษัทสหวิริยาฟ้องเพิกถอนคำสั่งและแก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดิน (น.ส. 3 ก.) ของกรมที่ดิน ตัวแทนชาวบ้านจำนวน 33 คนจึงได้ขอร้องสอดเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเข้าไปในคดีเพื่อจะได้มีส่วนรวมกับรัฐในการปกป้องสิทธิชุมชนและสิทธิจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 66 และ 67 ได้รับรองและคุ้มครองไว้
ต่อมา เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 คำสั่งศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ร้องสอด ด้วยเหตุว่า ผู้ร้องสอดเป็นเพียงผู้อยู่ในชุมชนหรือบริเวณใกล้เคียงกับที่พิพาทเท่านั้น ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองทำประโยชน์ใน น.ส. 3 ก. จำนวน 52 แปลงที่พิพาท และการร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อให้ได้รับการรับรองคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ ก็ไม่ได้ทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเสียไปซึ่งความยุติธรรมจึงไม่มีสิทธิร้องสอด โดยชาวบ้านผู้ร้องสอดได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554 ยืนยันว่าชาวบ้านและชุมชนอำเภอบางสะพาน มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 66 หรือ 67 ในการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน และกรณีพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนที่เกี่ยวพันกับที่ดินหรือทรัพยากรสาธารณะเป็นเรื่องของประชาชน มิใช่ปล่อยให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการอีกต่อไป อีกทั้งยืนยันสิทธิในการปกป้องตนทั้งในขั้นตอนก่อนการพิจารณาของฝ่ายปกครองในการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ไม่ชอบและกระบวนพิจารณาของศาล เพื่อให้ยังได้รับการรับรองและคุ้มครองในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง
เรียนเชิญท่านทำข่าว ศาลปกครองสูงสุดกำหนดนั่งฟังคำสั่งชี้ขาดคำร้องอุทธรณ์นี้ ในวันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 10.00 น. ณ ศาลปกครองกลาง ชั้น 3 ห้องพิจารณาคดี 13
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : มนทนา ดวงประภา โทร. 086-5467054
สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ โทร. 084-0166152
--
โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)
505/12 ซอยรามคำแหง 39 แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310
โทร.02-3189439,02-1844523 แฟกซ์ 02-3189439
เว็บไซต์: http://www.enlawthai.org อีเมลล์: enlawthai@gmail.com
Environmental Litigation and Advocacy for the Wants (EnLAW)
505/12 Soi Ramkhamhaeng 39 Plubpla, Wongtonglang, Bangkok 10310, Thailand
Tel. 02-3189439,02-1844523 Fax. 02-3189439
Website: http://www.enlawthai.org Email: enlawthai@gmail.com
กรณีชาวบ้าน อ.บางสะพาน ร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ร้องสอด
คดีเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดิน 52 แปลงใน ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
คดีหมายเลขดำที่ 1335/2553
วันพุธ ที่ 28 กันยายน 2554 เวลา 10.00 น.
ณ ศาลปกครองกลาง ชั้น 3 ห้องพิจารณาคดี 13
ปกป้องพื้นที่สาธารณะจำนวน 52 แปลง รวม 798 ไร่
บทพิสูจน์ สิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน
สิทธิชุมชนในการจัดการ การบำรุงรักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน
ตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
เป็นเรื่องของประชาชน ชุมชนร่วมกัน หรือของรัฐฝ่ายเดียว
__________________________________________________________________________
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ชาวบ้าน 12 หมู่บ้านในต.กำเนิดนพคุณ ต.ธงชัย ต.แม่รำพึง และต.พงษ์ประศาสน์ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 33 คน ร่วมกันยื่นคำร้องสอดคดีเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน 52 แปลง ในพื้นที่ ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มีชื่อบริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) กับบริษัทในเครือเป็นผู้ครอบครอง คดีหมายเลขดำที่ 1335/2553 ระหว่าง บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 8 คน ผู้ฟ้องคดี กับ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ผู้ถูกฟ้องคดี
เพราะเห็นว่าการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 52 แปลง ซึ่งอยู่ในเขตป่าคุ้มครองและป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง โดยพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเป็นพื้นที่ป่าชายเลน อันเป็นสาธารณะสมบัติดั้งเดิมของชุมชน มีความอุดมสมบูรณ์และหลากหลายทางชีวภาพ แต่ภายหลังที่กลุ่มบริษัทสหวิริยาได้เอกสารสิทธิ์มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ได้นำที่ดินดังกล่าวไปใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างถนนและท่าเรือน้ำลึก อันส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากการสร้างถนนขวางคลองแม่รำพึงทำให้ระบบนิเวศของป่าชายเลนเปลี่ยนแปลงไป และได้ปิดกั้นเส้นทางระบายน้ำของ อำเภอบางสะพาน ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม พื้นที่สวนและที่อยู่อาศัยของประชาชนได้รับความเสียหาย และการสร้างท่าเรือน้ำลึกทำให้กระแสการไหลของน้ำเปลี่ยนไป จำนวนสัตว์น้ำลดน้อยลง ส่งผลกระทบต่อผู้ที่ประกอบอาชีพประมง เลี้ยงปลาในกระชัง และการท่องเที่ยว
ดังนั้น เมื่อเกิดกรณีกลุ่มบริษัทสหวิริยาฟ้องเพิกถอนคำสั่งและแก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดิน (น.ส. 3 ก.) ของกรมที่ดิน ตัวแทนชาวบ้านจำนวน 33 คนจึงได้ขอร้องสอดเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเข้าไปในคดีเพื่อจะได้มีส่วนรวมกับรัฐในการปกป้องสิทธิชุมชนและสิทธิจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 66 และ 67 ได้รับรองและคุ้มครองไว้
ต่อมา เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 คำสั่งศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ร้องสอด ด้วยเหตุว่า ผู้ร้องสอดเป็นเพียงผู้อยู่ในชุมชนหรือบริเวณใกล้เคียงกับที่พิพาทเท่านั้น ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองทำประโยชน์ใน น.ส. 3 ก. จำนวน 52 แปลงที่พิพาท และการร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อให้ได้รับการรับรองคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ ก็ไม่ได้ทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเสียไปซึ่งความยุติธรรมจึงไม่มีสิทธิร้องสอด โดยชาวบ้านผู้ร้องสอดได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554 ยืนยันว่าชาวบ้านและชุมชนอำเภอบางสะพาน มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 66 หรือ 67 ในการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน และกรณีพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนที่เกี่ยวพันกับที่ดินหรือทรัพยากรสาธารณะเป็นเรื่องของประชาชน มิใช่ปล่อยให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการอีกต่อไป อีกทั้งยืนยันสิทธิในการปกป้องตนทั้งในขั้นตอนก่อนการพิจารณาของฝ่ายปกครองในการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ไม่ชอบและกระบวนพิจารณาของศาล เพื่อให้ยังได้รับการรับรองและคุ้มครองในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง
เรียนเชิญท่านทำข่าว ศาลปกครองสูงสุดกำหนดนั่งฟังคำสั่งชี้ขาดคำร้องอุทธรณ์นี้ ในวันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 10.00 น. ณ ศาลปกครองกลาง ชั้น 3 ห้องพิจารณาคดี 13
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : มนทนา ดวงประภา โทร. 086-5467054
สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ โทร. 084-0166152
--
โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)
505/12 ซอยรามคำแหง 39 แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310
โทร.02-3189439,02-1844523 แฟกซ์ 02-3189439
เว็บไซต์: http://www.enlawthai.org อีเมลล์: enlawthai@gmail.com
Environmental Litigation and Advocacy for the Wants (EnLAW)
505/12 Soi Ramkhamhaeng 39 Plubpla, Wongtonglang, Bangkok 10310, Thailand
Tel. 02-3189439,02-1844523 Fax. 02-3189439
Website: http://www.enlawthai.org Email: enlawthai@gmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น