กรมการค้าต่างประเทศ จัดสัมมนา'เจาะตลาดการค้าการลงทุนในจีน (ตอนใต้)' 22 ธ.ค. นี้
นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า จากการเปิดการค้าเสรีระหว่างอาเซียน – จีน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นมา การค้าของประเทศไทยและจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวถึงร้อยละ 35.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลค่าประมาณ 7.9 แสนล้านบาทโดยมูลค่าการค้าผ่านแดนระหว่างกันมีมูลค่า 14,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 200 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 4,700 ล้านบาท
เพื่อเป็นการผลักดัน และสนับสนุนการค้าและการลงทุนของไทยไปยังจีนให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น กรมการค้าต่างประเทศในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้กำหนดจัดการสัมมนาในหัวข้อ “เจาะตลาดการค้าการลงทุนในจีน (ตอนใต้)” ในวันพุธที่ 22 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 08.30-17.30 น. ณ โรงแรมริชมอนด์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
การจัดการสัมมนาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักลงทุนไทยที่มีความสนใจที่จะไปลงทุนทำการค้าและทำธุรกิจในประเทศจีนได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับลู่ทางการค้าและการลงทุน ตลอดจนกฎระเบียบและมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตมณฑลของจีนตอนใต้ จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีน พร้อมทั้งรับฟังประสบการณ์จากนักธุรกิจไทยที่ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศจีน
ผู้ที่ประสงค์จะเข้าร่วมการสัมมนาสามารถ Download กำหนดการสัมมนาและใบสมัครเข้าร่วมการสัมมนาได้ที่ http://www.dft.go.th และส่งใบสมัครได้ทางโทรสารหมายเลข 02 547 4728 ภายในวันอังคารที่ 14 ธันวาคม 2553 ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1385 หรือที่ 02 547 4730-32
พาณิชย์ เดินหน้า รุกตลาดค้าชายแดนรับบาทแข็งหวังเพิ่มมูลค่าการค้า
กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เร่งรุกตลาดค้าชายแดนไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 รับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นหวังเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนไม่น้อยกว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เดือนสิงหาคมของปีนี้ พบว่าแนวโน้มค่าเงินบาทจะแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง และประเทศเพื่อนบ้านคู่ค้าที่สำคัญของไทยอย่างมาเลเซียก็ประสบปัญหาค่าเงินริงกิตแข็งค่าเช่นเดียวกัน คาดว่ามูลค่าการค้าชายแดนไตรมาส 4 อาจจะลดลงจากปีที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศจึงได้เตรียมรับสถานการณ์โดยวางกลยุทธ์ในการดำเนินการเพื่อเสริมสร้างการค้าการลงทุน การสร้างเครือข่าย และพันธมิตรทางการค้ากับประเทศคู่ค้าและประเทศเพื่อนบ้าน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 จนถึงเดือนกันยายน 2554 ได้จัดให้มีการสัมมนาเพื่อเผยแพร่ความรู้ในเรื่องกฎระเบียบการค้าการลงทุน โดยวิทยากรซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและมีความเชี่ยวชาญจากประเทศเพื่อนบ้านและประเทศคู่ค้าที่สำคัญ รวมทั้งการนำคณะผู้แทนการค้าภาครัฐและเอกชนบุกตลาดประเทศเพื่อนบ้านและประเทศใกล้เคียง เช่น กัมพูชา ลาว พม่า จีน เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย เพื่อเจรจาธุรกิจและสร้างเครือข่ายการค้าการลงทุนร่วมกัน ซึ่งผู้ประกอบการที่สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.dft.go.th หรือติดต่อได้โดยตรงที่ สำนักความร่วมมือการค้าและการลงทุน กรมการค้าต่างประเทศ Hot lines สายด่วน : 1385
รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2553 (มกราคม-กันยายน) การค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน มีมูลค่าการค้ารวม 584,929.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 28.0 แบ่งเป็นการส่งออก ที่มีมูลค่า 366,112.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.7 (จาก 256,472.3 ล้านบาท) การนำเข้า ที่มีมูลค่า 218,816.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 (จาก 200,527.0 ล้านบาท) ไทยได้ดุลการค้า มูลค่า 106,813.4 ล้านบาท โดยเป็นการค้าชายแดนไทยกับมาเลเซียสูงสุด มีมูลค่า 376,037.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 64.3 ของมูลค่าการค้าชายแดนรวม รองลงมา คือ พม่า มูลค่า 103,397.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.9 ลาว มูลค่า 64,003.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.94 และกัมพูชา มูลค่า 41,492.3 หรือร้อยละ 7.1
สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ยางพารา มูลค่า 106,179.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 29.0 ของมูลค่าการส่งออก เครื่องคอมพิวเตอร์ มูลค่า 30,716.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.4 ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ มูลค่า 18,479.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.0 น้ำมันดีเซล มูลค่า 12,587.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.5
สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ มูลค่า 61,384.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 28.1 ของมูลค่าการนำเข้า ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ มูลค่า 18,095.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.3 สื่อบันทึก ข้อมูล ภาพ เสียง มูลค่า 16,588.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.6 เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็กสำหรับคอมพิวเตอร์ มูลค่า 13,686.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น