วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เปิดตัว "ปิยมหาราชการุณย์ " รพ.คู่แฝด "ศิริราช" บริการแบบเอกชนแต่คิดถูกกว่า 30%

 

เปิดตัว "ปิยมหาราชการุณย์ " รพ.คู่แฝด "ศิริราช" บริการแบบเอกชนแต่คิดถูกกว่า 30%

Share 



ผู้สื่อข่าวรายงาน เปิดตัว โรงพยาบาลศิริราช  ปิยมหาราชการุณย์  (หรือ SiPH)  โดยรองศาสตราจารย์นายแพทย์ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เปิดเผยว่า โรงพยาบาลศิรราช ปิยมหาราชการุณย์ ถือได้ว่าเป็นอีกมิติหนึ่งทางการแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และเพื่อให้SiPH แบ่งเบาภาระของคณะแพทย์ ที่จะทำให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ โดยการนำรายจากการดำเนินงานคืนกลับสู่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยจะให้บริการเหมือนโรงพยาบาลเอกชน จุดเด่น คือการให้บริการที่สะดวก

สบายมากขึ้น และรักษาโรคที่ซับซ้อนหรือรักษาได้ยาก เพราะใช้บุคคลากรที่มีความสามารถและประสบการณ์สูง 

 

ส่วนด้านค่ารักษาจะมีอัตราค่ารักษาเหมือนโรงพยาบาลเอกชน แต่เมื่อเทียบกันแล้วจะอยู่ราวๆ 70-80 เปอร์เซ็นต์ของค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนทั่วไป เพราะทางโรงพยาบาลไม่ได้มุ่งทำกำไร ซึ่งจะคิดกำไรไม่เกิน 12 เปอร์เซ็นต์  และโรงพยาบาลไม่ได้รองรับการใช้ประกันสังคมและการเบิกค่ารักษาของข้าราชการ แต่ใช้กับประกันสุขภาพของบริษัทประกันได้

 

โรงพยาบบาลศิริราช  ปิยมหาราชการุณย์ มีห้องบริการผู้ป่วยนอก 177 ห้อง ห้องผ่าตัด 17 ห้อง ห้องผู้ป่วย 284 ห้อง หอผู้ป่วยวิกฤต 61 ห้อง และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสูง ปัจจุบันการก่อสร้างโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เกือบจะสมบูรณ์แล้ว และจะสามารถเปิดให้บริการแก่ผู้ป่วยได้ในพื้นที่ประมาณร้อยละ 30 ของพื้นที่โดยจะเปิดให้บริการในวันที่ 26 เมษายนนี้  ต่อจากนั้นจะเพิ่มพื้นที่ให้บริการเป็นร้อยละ 50 ในปีที่สอง และครบทั้งหมดในปีที่สาม  
 

 


วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มาเลย์สั่งประหาร 20 คนไทย ยัดโคเคนในครรภ์ส่งขายกรุงเทพ




 

มาเลย์สั่งประหาร 20 คนไทย ยัดโคเคนในครรภ์ส่งขายกรุงเทพ

Tue, 2012-02-07 23:24

อารีด้า สาเม๊าะ 
โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DSJ)

กรมการกงสุลเผย  พบสาวเหนือ-อีสานถูกตุ๋นค้ากามในแดนเสือเหลืองเป็นพัน เตือนหญิงชายแดนใต้มีสิทธิเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ เผยชีวิตรันทด สาวเหยื่อแก๊งค์ไนจีเรีย ชวนเที่ยวต่างประเทศ ตีสนิทจนท้อง ยัดโคเคนในครรภ์ส่งกลับไทย

ภาพจาก http://icare.kapook.com/missing.php?ac=detail&s_id=61&id=3004

 

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 ที่โรงแรม บีพี แกรนด์ทาวเวอร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายสุวัฒน์ แก้วสุข ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อ การดูแลคนไทยในต่างประเทศ ในการสัมมนานักจัดรายการวิทยุมุสลิมระดับภูมิภาค ระหว่างวันที่ 6 - 7 กุมภาพันธ์ 2555 มีนักจัดรายการวิทยุจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วมประมาณ 80 คน

นายสุวัฒน์ บรรยายว่า กรมการกงสุลเคยบันทึกสถิติไว้ว่า มีคนไทยที่ไปติดคุกในประเทศมาเลเซียมากถึง 1,400 คน ในจำนวนนี้มีถึง 400 คนที่ถูกจับกุมข้อหามีสารเสพติดไว้ครอบครัว และ 24 คนถูกศาลมาเลเซียตัดสินประหารชีวิต

นายสุวัฒน์ บรรยายว่า ทุกวันนี้มีคนไทยเดินทางออกนอกประเทศทุกวัน โดยเป็นนักท่องเที่ยวกว่า 2,000,000 คน เดินทางไปตั้งรกรากในต่างประเทศทั่วโลกกว่าร้อยประเทศ รวม 1,000,000 กว่าคน และขายรายงานกว่า 500,000 คน ในจำนวนนี้ เป็นแรงงานในโควตาของกระทรวงต่างประเทศปีละ 100,000 คน

นายสุวัฒน์ บรรยายว่า คนไทยในต่างประเทศจำนวนหนึ่งสร้างปัญหาซับซ้อนให้เจ้าของประเทศมาก เนื่องจากไปละเมิดกฎหมายต่างประเทศ แต่การช่วยเหลือและติดต่อขอให้ส่งตัวกลับประเทศไทย เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก เพราะบางคนถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ซึ่งสำนักงานกงสุลไทยในประเทศเหล่านั้นเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้

นายสุวัฒน์ บรรยายว่า คนไทยที่มีพฤติกรรมชอบละเมิดกฎหมายต่างประเทศ ต้องระวังให้ดีเพราะกฎหมายต่างประเทศเข้มแข็งกว่าไทย กรมการกงสุลไทยแทบจะไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ ตัวอย่าง 24 รายที่ถูกศาลมาเลเซียสั่งประหารชีวิต หลังจากจับได้ว่าค้ายาเสพติด กรมการกงสุลจะช่วยเหลือด้านคดียากมาก ถ้าไม่ใช่ครอบครัวผู้เสียหายจัดการเอง แต่หลายคนจะเข้าใจผิด คิดว่าสถานกงสุลไทยในต่างประเทศจะสามารถช่วยเหลือด้านคดีได้

นายสุวัฒน์ บรรยายอีกว่า ปัญหาใหม่ที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ตอนนี้คือ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยถูกหลอกไปใช้แรงงานในประเทศมาเลเซีย โดยมีนายหน้ามารับตัวไป แล้วส่งไปอยู่ตามร้านเสริมสวย สปา และส่วนมากถูกบังคับให้ค้าประเวณีด้วย บางรายถูกเจ้านายข่มขืนจนตั้งท้อง เนื่องจากกฎหมายมาเลเซียห้ามทำแท้ง ทำให้ต้องปล่อยให้คลอดลูกออกมา จึงยิ่งตอกย้ำให้ชีวิตในต่างแดนรันทดมากขึ้น

"ปีที่ผ่านมา มีสถิติที่ได้จากการร้องเรียนว่าถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศเกินกว่า 1,000 ราย ซึ่งนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีอีกส่วนที่ยินยอมค้าประเวณี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนภาคอีสานและภาคเหนือ แต่ยังไม่ทราบชัดเจนว่า มีสาวมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ค้าประเวณีด้วยหรือไม่" นายสุวัฒน์ กล่าว

นายสุวัฒน์ บรรยายว่า ผู้ที่หลอกสาวไทยไปค้าประเวณีส่วนใหญ่ มักเป็นผู้ใกล้ชิดหรือญาติสนิทที่หลอกว่าจะหางานให้ทำในต่างแดน แต่เมื่อข้ามชายแดนไปแล้วจะมีผู้รอรับไปส่งยังสถานที่เป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารไทย หรือร้านสปานวดเท้า จึงขอให้ระวังตัวด้วย เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อาจจะประสบกับบุตรหลานของชาวจังหวัดชายแดนใต้ได้ เนื่องจากเดินทางไปฝั่งมาเลเซียบ่อย

นายสุวัฒน์ บรรยายด้วยว่า ยังมีหญิงไทยที่มักถูกแก็งค์ชาวต่างชาติหลอกให้ขนยาเสพติดข้ามประเทศทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยเฉพาะจากหนุ่มชาวประเทศไนจีเรียที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทยเฝ้าติดตามมาระยะหนึ่งนั้น พบว่า มีการทำเป็นขบวนการที่ซับซ้อนและมีการกระทำทารุณต่อผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่ออย่างมาก

นายสุวัฒน์ บรรยายว่า เส้นทางการลำเลียงยาเสพติดของชาวไนจีเรีย จะมีการติดต่อสื่อสารกับสาวไทยผ่านโปรแกรมแชททางอินเตอร์เน็ต ซึ่งสาวไทยจะรับสัมพันธ์ด้วยแม้ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน โดยชายชาวไนจีเรียกลุ่มนี้จะซื้อตั๋วเที่ยวต่างประเทศและโอนเงินให้สาวไทยใช้หลายครั้ง เพื่อให้เหยื่อตายใจ และเมื่อถึงขั้นสนิทสนมกันแล้ว ก็จะหลอกให้ส่งของกลับมายังประเทศไทย โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว หลังจากนั้นหนุ่มไนจีเรียจะข่มขืนเหยื่อจนตั้งท้อง เพื่อให้สามารถส่งของผ่านด่านตรวจได้ง่ายขึ้น

"แก๊งค์ค้ายาจะให้สาวท้องกลืนโคเคนเข้าไปในท้อง เมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ก็จะให้เหยื่อถ่ายออกมา แล้วส่งต่อให้พ่อค้ายาเสพติดในประเทศไทย" นายสุวัฒน์ กล่าว

นายสุวัฒน์ บรรยายต่อไปว่า รายล่าสุดที่กรมการกงสุลสามารถช่วยเหลือมาได้ คือเหยื่อสาวไทยที่ถูกจับได้ในประเทศกัมพูชา และถูกศาลประเทศกัมพูชาตัดสินจำคุก 29 ปี แต่สาวไทยคนนี้คลอดลูกในเรือนจำที่นั่น ซึ่งสร้างความโกลาหนให้เจ้าหน้าที่กัมพูชามาก กรมการกงสุลจึงติดต่อขอตัวเด็กกลับมาจดทะเบียนเป็นคนไทยและส่งตัวให้สถานดูแลเด็กกำพร้าเลี้ยงดูต่อไป

 




วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เตือนอีกครั้ง! ค่ายมือถือเมินคำสั่ง กสทช. ปรับวันละ2 หมื่น

 

เตือนอีกครั้ง! ค่ายมือถือเมินคำสั่ง กสทช. ปรับวันละ2 หมื่น

กสทช.เตือนค่ายมือถือไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้บริการมือถือแบบพรีเพด อาจถูกปรับวันละ 2 หมื่นบาท ให้เวลา 30 วัน หลังส่งหนังสือแจ้งเตือนไปเมื่อวันที่ 26 ม.ค.55...

นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. กล่าวว่า ที่ประชุม กสทช.ด้านกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. วันนี้มีวาระการประชุมเรื่อง การลงทะเบียนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเรียกเก็บเงินล่วงหน้า โทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน หรือ พรีเพด เนื่องจากประกาศของ กทช.เรื่องหลักเกณฑ์การจัดสรร และบริหารเลขหมายโทรคมนาคม พ.ศ.2551 ข้อ 38 กำหนดให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ พรีเพด จัดเก็บข้อมูล และรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ใช้บริการ แต่ขณะนี้ผู้ให้บริการยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประกาศ ดังนั้น สำนักงาน กสทช.จึงทำหนังสือเตือนไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้ปฏิบัติให้ถูกต้องภายใน 30 วัน 

กรรมการ กสทช. กล่าวต่อว่า หากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครอง กสทช.จะต้องพิจารณากำหนดค่าปรับทางปกครอง ตามมาตรา 65 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ต่อไป ในอัตราไม่น้อยกว่า 2 หมื่นบาท/วัน โดยล่าสุด สำนักงาน กสทช. ตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้บริการมือถือระบบเติมเงินแล้วเมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา แต่เบื้องต้นต้องเชิญผู้เกี่ยวข้องมาหารือในแนวทางการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นไปได้ รวมทั้ง เชิญฝ่ายความมั่นคงเข้ามามีส่วนร่วม เนื่องจากปัจจุบันมีการนำมือถือระบบเติมเงินไปใช้ติดต่อเพื่อส่งยาเสพติดด้วย

ด้าน นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ในกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งหนังสือมายัง กสทช.ว่าไม่สามารถปฏิบัติตามประกาศในการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้บริการได้ ดังนั้น กทค.จึงมีความเห็นให้สำนักงาน กสทช.ทำหนังสือแจ้งเตือนเพื่อเป็นการบังคับใช้ตามประกาศต่อไป

อย่างไรก็ตาม ความเห็นของส่วนงานเลขานุการ สำนักงาน กสทช. ระบุว่า เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้บริการ จึงควรดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์ และวิธีในการจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการ ซึ่งอาจกำหนดให้มีการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แทนการจัดเก็บเอกสาร เพื่อลดภาระผู้ให้บริการ

สำหรับจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศไทย สำนักงาน กทช.จัดทำข้อมูลดัชนีชี้วัดความก้าวหน้าในกิจการโทรคมนาคมของประเทศไทยโดยสรุป ในปี 2553 จากข้อมูลพบว่า มีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวนกว่า 70 ล้านเลขหมาย ในจำนวนกว่า 70 ล้านเลขหมาย เป็นบริการรายเดือน หรือ โพสต์เพด 7.22 ล้านเลขหมาย คิดเป็น 10.22% และพรีเพด 63.4 ล้านเลขหมาย คิดเป็น 89.78%.

โดย: ทีมข่าวไอทีออนไลน์

1 กุมภาพันธ์ 2555, 06:00 น.